แดงเดือดมาแล้วจ้า แมตช์เดย์ที่ 9 ของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มีศึกใหญ่ที่หลายๆคนรอคอย มันก็คือ “แดงเดือด” ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจอกับ หงส์แดง

แดงเดือดมาแล้วจ้า แน่ๆว่าพวกเรามีเกร็ด และก็หลักสำคัญที่น่าดึงดูดมาฝากให้แฟนคลับติดตาม ส่วนคู่อื่นๆก็ยังมีเหมือนปกติ ไปดูกันได้เลย ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ดาวยิงกัปตันกลุ่ม อาร์เซน่อล ทำแต้มในลีกยามที่เล่นในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม มาแล้วสามครั้งติดกัน

โดย 42 ประตูเป็นปริมาณที่หน้าแข้งกลุ่มชาติกาบองยิงถึงที่เหมาะสนามที่นี้ ด้อยกว่าเพียงแค่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ สมัยก่อนหัวหน้า “เดอะ กันเนอร์ส” ที่ทำไว้ 46 ประตู 9 เกมข้างหลังที่ อาร์เซน่อล พบกับ แอสตัน วิลล่า บนเวที พรีเมียร์ลีก ไม่มีเกมไหนเลยที่มีสกอร์เกิดขึ้นรวมกันต่ำลงมากยิ่งกว่า 3 ประตู

โดยมีเพียงแค่คู่ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด แค่นั้นที่ทำเป็นนานกว่าที่ 11 นัดหมายติด “สิงห์ผยอง” เอาชนะ “ไอ้ปืนใหญ่” ในลีกมาแล้ว 3 เกมต่อเนื่องกัน เท่ากันกับก่อนหน้าที่ผ่านมา 36 นัดหมายที่เจอะกัน(ชนะ 3 เสมอ 9 แพ้ 24) 4 เกมติดในลีกนั้นจำต้องย้อนไปเมื่อกันยายน ปี 1962 อย่างยิ่งจริงๆ

แดงเดือดมาแล้วจ้า

แดงเดือดมาแล้วจ้า โธมัส ทูเคิ่ล ผู้จัดการทีมฟุตบอล เชลซี พบเรื่องน่าปวดหัว

เมื่อจำเป็นต้องมาเสียสองแนวรุกอย่าง โรเมลู ลูกากู และก็ ติโม แวร์เนอร์ ไปพร้อมเพียงกันในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อกึ่งกลางอาทิตย์ เบน ชิลเวลล์ ตัวบุกปีกซ้ายดีกรีกลุ่มชาติอังกฤษ ทำแต้มในลีกให้กับสังกัดเดิมมาแล้ว 3 ครั้งติดกัน

ในขณะที่ 26 ครั้งแรกภายใต้สีเสื้อ “สิงห์บลูส์” เขาทำเป็นเพียงแค่ 2 ลูกแค่นั้น สถิติการพบกับ นอริช ของ เชลซี นับว่าดีเอามากๆเมื่อพวกเขาเอาชนะได้ถึง 10 นัดหมายจากการเจอกัน 12 เกมลีก(เสมอ 2) ซึ่งหนสุดท้ายที่ปราชัยต่อ “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” นับว่าเป็นหนึ่งใน

จำต้องย้อนไปเมื่อธันวาคม ปี 1994 นอริช มองหาการเก็บคลีนชีตต่อเนื่องกัน 3 นัดหมายบนศึก พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกนับจากพ.ย. ปี 2012 โดยตอนนั้น เกมที่ 3 ที่พวกเขาไม่เสียประตูเป็นการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลุ่มที่เป็นหัวหน้าฝูง 1-0

ภายหลังจากเคยเอาชนะ เชลซี ในสองเกมแรกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในปี 1992/93 รวมทั้ง 1993/94 นับจากนั้นเป็นต้นมา นอริช บุกเก็บแต้มตรงนี้ได้เพียงแค่แต้มเดียวแค่นั้นจาก 7 เกมที่ยกทัพบุกเยือน เดอะ บริดจ์ (เสมอ 1 แพ้ 6)

แดงเดือดมาแล้วจ้า

เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมคเกอร์ตัวกลั่นของ แมนฯ ซิตี้

พึ่งทำแต้มสองครั้งติดต่อกันในลีกเป็นครั้งแรกนับจากกันยายน ปี 2020 ซึ่งครั้งเดียวที่ลำแข้งเบลเจี้ยน ทำคะแนนในลีกได้ 3 เกมติดเกิดขึ้นตอนระหว่างก.ย.-เดือนตุลาคม ปี 2015

เกมปัจจุบันที่พบกันเป็นเกมที่ ไบรท์ตัน หยุดสถิติเลวทรามที่ปราชัยต่อ ซิตี้ 7 นัดหมายติดในลีกด้วยผลต่าง 2-21 โดยเป็นการกลับชนะภายหลังที่ตามหลัง 0-2 กลับมาซิวชัย 3-2 เมื่อพ.ค. ข่าวบอลล่าสุด

ซึ่งเกมนั้นเพียงแค่เกมเดียวเป็นเกมที่พวกเขาทำคะแนนใส่ “เรือใบสีฟ้า” มากยิ่งกว่าที่พบกันก่อนหน้านั้น 8 นัดหมายทุกรายการ แม้กระนั้น แมนฯ ซิตี้ ยังไม่เคยแพ้ต่อ “เดอะ ซีกัลส์” 2 เกมต่อเนื่องกันเลยสักหนึ่งครั้ง

โดยทั้งหมดทั้งปวงที่พบกัน 22 เกมก่อนหน้าที่ผ่านมา พวกเขาแพ้เพียงแต่ 4 เกม(ชนะ 14 เสมอ 4 แพ้ 4) เจมี่ วาร์ดี้ ดาวยิง เลสเตอร์ ทำแต้มในลีกต่อเนื่องกันมาแล้ว 4 เกมติด รวมทั้งถ้าเขาทำแต้มได้อีกในเกมนี้จะมีผลให้ วาร์ดี้ เป็นผู้เล่นผู้ที่ 8

ซึ่งสามารถทำสถิติยิงสม่ำเสมอ 5 เกมต่อเนื่องกันเป็นครั้งที่ 3 ของอาชีพ ต่อจาก เซร์คิโอ อเกวโร่ (7), อลัน เชียเรอร์ (5), รุด ฟาน นิสเตลรอย (4) แล้วก็มีอีก 4 ผู้ที่ทำเสมอกัน 3 ครั้งเป็น เธียร์รี่ อองรี, ร็อบบี้ คีน, ไมเคิ่ล โอเว่น และก็ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ 7 นัดหมายข้างหลังที่พบกับ เลสเตอร์ นั้น

เบรนท์ฟอร์ด ยังไม่สามารถที่จะเอาชนะได้เลยจากทุกรายการ (เสมอ 1 แพ้ 6) โดยครั้งปัจจุบันที่ชนะเป็นจำเป็นต้องย้อนไปเมื่อมี.ค. ปี 1953 บนชัยชนะ 3-2 ในดิวิชั่น 2 ทั้งคู่เกมที่ “เดอะ บีส์” แพ้ในช่วงฤดูกาลนี้ มีสาเหตุจากการเล่นเกมในบ้านตนเอง (ต่อ ไบรท์ตัน รวมทั้ง เชลซี)

เวลาเดียวกัน 5 จาก 7 ประตูที่พวกเขาเสียใน พรีเมียร์ลีก ก็เกิดขึ้นในถิ่น เบรนท์ฟอร์ด คอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยม ตั้งแต่แมื่อบุกเอาชนะ ฟูแล่ม กับ วูล์ฟส์ สองเกมติดได้เมื่อกุมภาพันธ์

“เดอะ ฟ็อกซ์” ก็ไม่อาจจะเก็บคลีนชีตเกมนอกบ้านได้อีกเลยใน 11 เกมลีกหลังสุด ซึ่งเป็นสถิติที่ช้านานที่สุดนับจากตุลาคม ปี 2019 อย่างไรก็ตาม ในปริมาณนัดหมายพวกนั้น เลสเตอร์ สามารถทำคะแนนได้ทุกเกมด้วยเหมือนกัน

https://www.judodairago.com/